ในการใช้วิธีนี้ คุณต้องเข้าใจสถานการณ์หรือรู้จักคนที่โกรธอยู่แล้ว เพื่อให้แน่ใจว่าวิธีนี้จะใช้ได้ผล อารมณ์ขันสามารถต่อสู้กับความโกรธได้อย่างดี เพราะอารมณ์ขันจะช่วยเปลี่ยนแปลงสารเคมีร่างกายได้ [12]
ลองเล่นตลกหรือหยุดพูดถึงเรื่องปัจจุบันแล้วเปิดประเด็นตลกๆ ที่คุณและคนๆ นั้นสามารถหัวเราะได้ การทำแบบนี้จะช่วยให้สถานการณ์ผ่อนคลายได้ และยังมีโอกาสที่จะทำให้คนๆ นั้นหายโกรธได้อีกด้วย
7
ให้เขาได้อยู่คนเดียว. บางคนที่ชอบที่จะพูด แต่บางคนที่เลือกที่จะจัดการอารมณ์ด้วยตัวคนเดียว ถ้าการพูดออกมานั้นมีแต่จะทำให้เขาโกรธมากขึ้น ลองให้เขาได้อยู่คนเดียวดู [13]
คนส่วนใหญ่มักจะใช้เวลาอย่างน้อย 20 นาทีเพื่อสงบจิตใจตัวเอง แต่บางทีก็อาจจะนานกว่านั้น [14]
ถ้าคุณคิดว่ามีใครที่ต้องการเวลาส่วนตัว ให้ลองพูดว่า "ฉันเข้าใจนะว่าคุณโกรธ แต่ฉันคิดว่าฉันคงช่วยคุณไม่ได้ และฉันคิดว่าคุณคงต้องการเวลาส่วนตัว ฉันจะอยู่ข้างๆ คุณเมื่อคุณพร้อมที่จะพูดแล้วนะ"
ลองดูว่าคุณสามารถทำให้ทุกอย่างดีขึ้นได้หรือไม่. ถ้าต้นเหตุของความโกรธนั้นเป็นปัญหาที่แก้ไขได้ คุณก็อาจจะช่วยได้ ถ้าคนๆ นั้นใจเย็นพอที่จะฟังเหตุผล ก็ลองเสนอทางออกและช่วยวางแผนแก้ไขปัญหา [15]
ในบางกรณี คนที่โกรธอยู่จะไม่สามารถรับฟังเหตุผลด้วยวิธีนี้ได้ ลองดูสถานการณ์แล้วพิจารณาว่าคุณควรที่จะรอจนคนๆ นั้นใจเย็นพอที่จะฟังเหตุผลแล้วหรือไม่
2 คิดถึงอนาคต.
5 ขั้นตอน แก้นิสัยคนขี้โมโห ให้กลายเป็นคนใจเย็น
มีปัญหาด้านสุขภาพ
หลายคนอาจคิดไม่ถึงว่าเรื่องสุขภาพ เป็นสาเหตุที่ทำให้เราหงุดหงิดได้ อาทิเช่น การพักผ่อนน้อย การดื่มน้ำน้อย การรับประทานอาหารที่ไม่ตรงเวลา โรคประจำตัวบางอย่าง ทำให้เราหงุดหงิดได้ง่าย และมีความอดทนต่ำ ทั้งนี้ ก็เนื่องจากร่างกายและอารมณ์ มีผลกระทบต่อกันโดยตรง หากร่างกายของคุณกำลังเครียด มันก็แน่นอนว่า คุณจะอยู่ในสภาวะเครียด หงุดหงิด และอารมณ์เสียง่ายเช่นเดียวกัน
2. มีปัญหาอื่น ที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข
หากคุณไม่ได้มีอาการเจ็บป่วยหรือมีโรคประจำตัว แต่คุณกลับมีอาการหงุดหงิด อารมณ์เสียบ่อย อาจจะเป็นไปได้ว่าคุณกำลังมีปัญหาอื่นๆที่ยังค้างคาอยู่ในใจคุณ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาด้านความสัมพันธ์ การเงิน การงาน หรือความรัก ซึ่งหากปัญหาเหล่านี้ยังไม่ได้รับการแก้ไข มันก็แน่นอนว่า คุณจะต้องมีอาการหงุดหงิดง่าย อารมณ์เสียบ่อย เป็นเรื่องธรรมดา
3. คุณคาดหวังกับสิ่งต่างๆมากเกินไป
เราอาจจะคาดหวังว่าคนนี้ คนโน้น ต้องเป็นในแบบที่เราต้องการ หรือเราอาจจะคาดหวังกับผลลัพธ์ของการกระทำบางอย่าง ซึ่งตัวผู้เขียนเองได้ค้นพบว่า การที่เราคาดหวังกับอะไรบางอย่าง มันมักจะนำพามาซึ่งความผิดหวังเสมอ และเพราะความผิดหวังนี้เอง ทำให้เราเริ่มมีความคิดลบ น้อยใจ โกรธ ที่ทุกอย่างไม่ได้เป็นไปตามแผนที่วางไว้ เราจึงกลายเป็นหงุดหงิด อารมณ์เสียบ่อย โดยที่เราอาจไม่รู้ตัว
4.
อย่าอารมณ์ขึ้นตาม ถึงแม้คุณจะสามารถควบคุมตัวเองไม่ให้ตอบโต้กลับไปได้เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา แต่การเก็บความรู้สึกโกรธไว้ในใจก็จะทำให้ตัวคุณเองรู้สึกไม่มีความสุข แถมยังมีโอกาสระเบิดได้เสมอ ความจริงแล้วการรับรู้ปัญหาโดยไม่มีอารมณ์โกรธถือเป็นความสามารถที่ท้าทายและเป็นประโยชน์กับชีวิตอย่างมาก เพราะจะทำให้เราแก้ปัญหาต่างๆ รวมทั้งความขี้วีนของแฟนคุณได้ง่ายขึ้นค่ะ 4. ให้เวลาในการปรับอารมณ์ คำโบราณที่ว่าน้ำเชี่ยวอย่าเอาเรือไปขวางยังใช้ได้ผลอยู่เสมอค่ะ เช่นเดียวกับความโกรธของแฟนคุณที่ไม่ควรเข้าไปบีบคั้นให้เขาอารมณ์เย็นลงได้ในทันที เพราะนั่นจะยิ่งทำให้อารมณ์ร้อนมายิ่งขึ้น ทางออกที่ดีที่สุดในเวลานั้นคือปล่อยให้เขาได้สงบสติอารมณ์ด้วยเอง แล้วค่อยมาพูดคุยกันอย่างมีเหตุผลค่ะ 5. ตั้งใจฟังในสิ่งที่เขาพูด สาเหตุหนึ่งที่มักทำให้คนอารมณ์ร้อนรู้สึกโกรธมากยิ่งขึ้น ก็คือการไม่มีคนรับฟัง ดังนั้น การเป็นผู้ฟังที่ดีคือวิธีที่ดีที่สุดในการปรับอารมณ์ของแฟนคุณให้เบาลง แถมยังถือเป็นการเก็บข้อมูลเพื่อที่จะหาต้นเหตุความอารมณ์ร้อนของเขาด้วย 6. พูดคุยอย่างให้เกียรติ คำพูดที่สุภาพและให้เกียรติคนฟัง นอกจากจะช่วยให้อารมณ์ของผู้ฟังเย็นลงและรู้สึกดีขึ้นแล้ว ยังถือเป็นการบ่งบอกนัยยะให้เข้าทำตัวเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นด้วย เพราะหากคุณใช้คำพูดที่ทำราวกับเขาเป็นเด็ก เขาก็จะยิ่งแสดงพฤติกรรมที่เป็นเด็กออกมา ควรเปลี่ยนสถานการณ์ให้อยู่ในรูปแบบผู้ใหญ่คุยกันจะทำให้คุยรู้เรื่องมากที่สุดค่ะ 7.
5 ขั้นตอน
แก้นิสัยคนขี้โมโหให้กลายเป็นคนใจเย็น(กว่าเดิม)
พศิน อินทรวงค์
1. ระงับคำพูดและการกระทำในยามที่โกรธ
คือหากรู้สึกว่า อารมณ์กำลังพลุ่งพล่าน
ให้สงบนิ่งไว้ จำไว้เสมอว่า...
ความคิดใดๆคำพูดใดๆการกระทำใดๆ
หากมีขึ้นในยามโกรธ
มักเป็นไปในทางทำลายรุนแรง
อาจสะใจชั่วครู่ แต่สุดท้ายจะไม่เป็นผลดี
กฏเหล็กเบื้องต้นที่ต้องทำให้ได้คือ...
เราจะไม่พูดหรือทำอะไรเด็ดขาดในยามที่โกรธ
รอให้ใจเย็นก่อน หายโกรธก่อนแล้วค่อยว่ากัน
2.
สบาย กับการอธิบายกราฟเป็นภาษาอังกฤษ
โรคเครียด
นิสัยขี้โมโหต่อสายตรงสู่ปัญหาความเครียด จากคำยืนยันของคุณหมอเอเคนที่ว่าเมื่อลองได้โกรธใคร ไม่ว่าจะระเบิดอารมณ์โกรธ หรือหมกมุ่นอยู่เงียบๆ ก็ล้วนส่งผลโดยตรงให้ผู้นั้นเครียดยิ่งขึ้น โดยเฉพาะคนที่ชอบเก็บกดความโกรธไว้ไม่ระบายออก ความเครียดจะยิ่งพุ่งสูงเร็วกว่าจนน่าใจหาย
6. โรคระบบทางเดินหายใจ
ความคิดร้ายๆ (ต่อคนอื่น) ทำลายปอด เพราะแม้คุณไม่ใช่นักสูบแต่จากสถิติการเก็บตัวอย่างในผู้ชาย 670 คนต่อเนื่องนาน 8 ปีของฮาวาร์ดชี้ว่าคนที่มีแนวโน้มขี้โมโหและคิดร้ายต่อคนอื่นเป็นนิจจะทำให้ การทำงานของปอดแย่ลงและเสี่ยงจะมีปัญหาการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจได้ง่าย
7. อายุสั้นลง
จากสาเหตุที่เล่ามาทั้งหมด สรุปง่ายๆ ได้ว่า ความโกรธทำให้อายุสั้นลง ตอกย้ำความจริงนี้จากผลการวิจัยของ มหาวิทยาลัยมิชิแกน ที่ศึกษาคู่ชีวิตหลายคู่นานกว่า 17 ปี พบว่าคู่ชีวิตที่ใช้ชีวิตเต็มไปด้วยการถือโกรธต่อกัน จะมีอายุสั้นกว่าคู่ที่ไม่ค่อยมีปากเสียง
อ่านจบแล้ว คิดว่าคงถึงเวลาที่ใครหลายคนต้องมองหาวิธีการบำบัดอารมณ์โมโหร้ายกันเสียที เริ่มตั้งแต่วันนี้สุขภาพจะแข็งแรงนะคะ…
ขอบคุณภาพจาก pixabay
เขียนโดย ศุภรา ตีพิมพ์ในคอลัมน์ เกร็ดสุขภาพใจ นิตยสารชีวจิต ฉบับที่ 408
เมื่อผู้ใหญ่พูดด้วยต้องหันมาฟังและรับคำก่อน ไม่หันหลังเดินออกเสียเฉยๆ เมื่อพูดกับผู้ใหญ่ควรนั่งให้เรียบร้อย ถ้าในโอกาสที่ควรยืน ก็ยืนโดยสำรวม แม้เมื่อยืนอยู่ หรือนั่งอยู่โดยลำพัง ถ้าผู้ใหญ่ผ่านมาในระยะใกล้ชิด ก็ควรแสดงคารวะโดยหมอบตัวลง
2. ผู้มีมารยาทไม่ตะโกนคำที่หยาบคาย และไม่ใช้ภาษาที่หยาบคายในการสนทนา ไม่ว่าในกรณีใดๆ การกล่าวคำหยาบต่อกัน มิใช่เป็นการแสดงความสนิทสนม แต่เป็นการแสดงมารยาททรามต่อกัน
3. ผู้มีมารยาทย่อมพูดจาด้วยถ้อยคำและสำนวนอันเรียบร้อย และออกสำเนียงได้ชัดเจนถูกต้องแสดงให้เห็นความเป็นผู้มีการศึกษาดี
4. ผู้มีมารยาท ไม่ล้วง แคะ แกะ เกา หรือหาวเรอต่อหน้าผู้อื่น แม้จะไอ หรือจามก็ต้องใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปาก
5. ผู้มีมารยาทไม่บ้วนน้ำลาย หรือสั่งน้ำมูกลงบนถนน หรือสาธารณะใดๆ ถ้าจำเป็นต้องสั่งน้ำมูก หรือบ้วนคายสิ่งหนึ่งสิ่งใด ให้สั่ง หรือบ้วนคายใส่ผ้าเช็ดหน้าของตน
6. ตามธรรมเนียมไทย ผู้มีมารยาทไม่ดูดมือแทนการล้างมือ เมื่อมือเปื้อนอาหาร
7. ผู้มีมารยาทไม่จ้องดูผู้ใดโดยเพ่งพิศเหลือเกิน
8. ผู้มีมารยาทไม่นำสิ่งที่น่ากระดากมาเล่าให้แขกฟังและไม่กล่าวถึงเรื่องร้ายในงานมงคล
9. ผู้มีมารยาทมีความเกรงใจผู้อื่นเป็นนิตย์
10.
การอยู่กับปัจจุบันเป็นสิ่งที่สำคัญในการจัดการกับความรู้สึกโกรธ แต่คุณควรจะลองทำให้คนๆ นั้นคิดถึงอนาคตในการหาทางออกให้กับปัญหา [16]
ซึ่งจะช่วยให้คนๆ นั้นคิดอย่างมีเหตุผลมากขึ้นและคิดถึงผลที่ได้รับจากการแก้ไขปัญหาแทนที่จะยึดติดอยู่กับความโกรธในอดีตหรือปัจจุบัน
3 ช่วยให้คนๆ นั้นยอมรับว่าอาจจะไม่มีทางออก. ปัญหาทุกอย่างใช่ว่าจะแก้ได้เสมอไป ถ้าไม่มีทางออกสำหรับปัญหานั้น การย้ำกับคนๆ นั้นว่าเขาต้องทำใจและเดินหน้าต่อไปเป็นสิ่งที่สำคัญ [17]
1 ถอนตัวถ้าคุณไม่สามารถใจเย็นได้. ถ้าคนๆ นั้นพูดแทงใจดำคุณหรือกระตุ้นให้คุณรู้สึกโกรธ คุณควรจะออกห่างๆ ถ้าทำได้ ถ้าคุณกลายเป็นคนโกรธซะเองจะทำให้สถานการณ์แย่ลง ดังนั้น ให้ถอนตัวออกมาเมื่อคุณรู้สึกโกรธเพื่อป้องกันการปะทุอารมณ์ไปจนถึงขั้นทำร้าย [18]
2
ตระหนักถึงการทำร้าย. ความโกรธและความรุนแรงเป็นคนละสิ่งกัน ความโกรธคืออารมณ์ทั่วไปของมนุษย์ที่จำเป็นต้องจัดการ ส่วนการทำร้ายเป็นวิธีการสื่อสารกับคนอื่นที่ไม่ดีและมีความอันตรายมาก การกระทำดังต่อไปนี้จัดเป็นการทำร้าย ไม่ใช่ความโกรธ [19]
การข่มขู่ทำร้ายร่างกาย (ไม่ว่าจะนำไปสู่ความรุนแรงหรือไม่ก็ตาม)
การทำให้คุณรู้สึกผิด
การใช้คำหยาบหรือดูหมิ่น
การบังคับหรือกดขี่ทางเพศ [20]
มองหาที่ปลอดภัยถ้าสถานการณ์บานปลายเป็นความรุนแรง.
ภาษาญี่ปุ่น
สังคมไทยเดี๋ยวนี้เต็มไปด้วยคนเลือดร้อน ที่เอะอะๆ ก็ "กราบ" มีตั้งแต่นักเรียนกราบครูหน้าเสาธง แอร์โฮสเตสกราบลูกของผู้โดยสารที่เป็นเด็กออทิสติก และล่าสุดคือคนขับรถเฉี่ยวชนต้องไปกราบรถหรู ทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะความอารมณ์ร้อน โกรธจนไม่ลืมหูลืมตา และคิดว่าการ "กราบ" หรือการที่อีกฝ่ายยอมศิโรราบให้ จะทำให้เรารู้สึกดีขึ้น ซึ่งจริงๆ แล้วก็หาได้เป็นอย่างนั้นไม่ สิ่งที่ได้มีแต่ความสะใจเท่านั้น
ดังนั้น หากเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ต้องมีเหตุไม่สบายใจ โกรธกับการกระทำของอีกฝ่าย แต่ไม่อยากแสดงความก้าวร้าวออกไป เพราะอาจทำให้เรื่องบานปลายได้ เรามีเคล็ดลับง่ายๆ มาให้ลองฝึกกันค่ะ
1. นับ 1 ถึง 10
เคยได้ยินไหมคะ ว่าเวลาจะช่วยเยียวยาทุกอย่าง ถ้าเวลาทำให้คนอกหักกลับมาเข้มแข็งเหมือนเดิมได้ เวลาก็ช่วยให้เราใจเย็นลงได้เช่นกันค่ะ วิธีง่ายๆ คือ ก่อนที่เราจะเอ่ยปากด่า หรือเดินเข้าไปทำร้ายใครอย่างที่สมองสั่ง ลองบังคับตัวเองหายใจเข้าออกลึกๆ แล้วนับ 1 ถึง 10 ช้าๆ สติอยู่ที่ตัวเลขที่นับ ลืมคำพูด และความคิดต่างๆ ที่เข้ามาในหัวเมื่อกี้ออกไปทั้งหมด เหมือนกับการทำสมาธินั่นแหละค่ะ
2. ทำหูทวนลม
ในระหว่างที่เรากำลังให้เวลาเยียวยา ปัดเป่าความโกรธ อีกฝ่ายอาจยั่วโมโหเรามากขึ้นด้วยถ้อยคำ และการกระทำที่หยาบคายเพิ่มเติม ดังนั้นถ้าในสถานการณ์นั้น เราสามารถปิดหู ปิดตาได้ ให้ปิดให้หมด อย่าฟัง อย่าเห็นอะไรที่จะบันดาลโทสะเราเพิ่มเติม ตั้งหน้าตั้งตานับเลขไปก่อนค่ะ
3.
เข้าคอร์สปฎิบัติธรรมสักคอร์ส หรือหลายคอร์ส จะช่วยฝึกจิตให้สงบเย็นขึ้น ปฎิบัติต่อที่บ้าน แล้วคุณจะมีสติ มีตัวรู้ที่เท่าทันอารมณ์ เย็นแบบที่ตัวเรางง คนอื่นร้อนมีอารมณ์ ตัวเรากลับนิ่งได้อย่างแปลกใจ
- ลูกเป็นเด็กโมโหง่าย หรือกำลังเป็นโรคดื้อต่อต้าน ODD (Oppositional Defiant Disorder) กันแน่?! | Mood of the Motherhood | LINE TODAY
- 7 วิ ธีรับมือสอนลูกดื้อ ให้เชื่อฟัง ไม่ต่อต้าน เวลาลูกโมโหอยู่ - น่ารักดี
- โทร one 2 call center
ฝึกทักษะ การเป็นผู้ให้
วิธีนี้จะทำให้คุณตัดจากความหงุดหงิดง่าย และอารมณ์เสียบ่อยได้อย่างสิ้นเชิง เพราะเมื่อคุณได้เปลี่ยนสถานะเป็น 'ผู้ให้' อารมณ์หงุดหงิดของคุณจะถูกแทนที่ด้วยความ 'มีเมตตา' คุณจะคิดถึงจิตใจและความรู้สึกของผู้อื่น โฟกัสของคุณจะถูกเปลี่ยนจากการโฟกัสเฉพาะที่ตัวเอง ไปอยู่ที่การโฟกัสผลประโยชน์ของผู้อื่นร่วมด้วย ทำให้คุณรู้สึกเติมเต็ม ความหงุดหงิดง่าย และอารมณ์ที่เสียบ่อยๆ จะเริ่มลดลง
4. เป็นนักแก้ปัญหา อย่าทิ้งให้ปัญหาค้างคาจิตใจ
หากคุณมีปัญหารุมเร้า คุณต้องรีบแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วน อย่าปล่อยให้ปัญหามันรกรุงรังอยู่ในจิตใจและหัวสมองของคุณ หากคุณอยู่ในสภาวะที่หงุดหงิดเกินไปจนควบคุมตัวเองและแก้ปัญหาไม่ได้ หรือพูดคุยกับคนใกล้ชิด เพื่อหาทางออกของปัญหาอย่างรวดเร็วที่สุด แต่ถ้าหากคนใกล้ตัวไม่สามารถช่วยคุณได้ คุณควรที่จะปรึกษาผู้เชี่ยวชาญของปัญหาด้านนั้นๆ
5.
- ถั่วเลนทิล เมนู
- ศูนย์ สาธารณสุข 24 novembre
- Lenovo a5000 เคส pc
- หา 7 11 8
- คน เกาหลี ไม่มี กลิ่น ตัว
- แบบ กันแดด ข้าง บ้าน
- ภาพ โอ เค ที
- กาว ดัก หนู โลตัส